Home / ข่าวประชาสัมพันธ์ / ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 335/2559 ศธ.ชี้แจงและรับฟังความคิดเห็น “การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา”

ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 335/2559 ศธ.ชี้แจงและรับฟังความคิดเห็น “การจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา”

WU6A3651 

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา – พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ภายหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งที่ 39/2559 เพื่อจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาธรรมาภิบาลฯ โดยมีนางสาวอาภรณ์ แก่นวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย, ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ, ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ, ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตลอดจนอธิการบดี ผู้บริหาร และคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา เข้าร่วมประชุมจำนวน 180 คน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2559 ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร

 


พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นการมอบนโยบายแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งได้ศึกษาคำสั่ง พร้อมที่จะปรับตัว และทบทวนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับคำสั่งดังกล่าว ซึ่งขอยืนยันว่าก่อนที่จะออกคำสั่งได้มีการหารือในเรื่องนี้ร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ โดยพยายามเคารพความเป็นอิสระของสถาบันอุดมศึกษาให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม เจตนารมณ์ของการออกคำสั่งนี้ก็เพื่อดูแลให้การบริหารจัดการมีความโปร่งใส สามารถจัดการศึกษาตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและมาตรฐานหลักสูตร เพราะหากสภาสถาบันอุดมศึกษาใดมีปัญหาจนไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จำเป็นจะต้องเข้าไปแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่นิสิตนักศึกษา ระบบการศึกษา สังคม หรือประเทศชาติ

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  โดยได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงรายละเอียดของคำสั่งดังกล่าว เพื่อให้ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษานำนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติได้อย่างชัดเจนมากขึ้น มีประเด็นสำคัญโดยสรุปดังนี้

  • ด้านการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการในสถาบันอุดมศึกษา  ต้องยอมรับว่าคำสั่งที่ออกมาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการในสถาบันอุดมศึกษา เพราะที่ผ่านมากฎหมายให้สภาสถาบันอุดมศึกษามีอำนาจในการบริหารสูงสุด ทำให้เมื่อสถาบันอุดมศึกษามีปัญหาด้านการบริหารก็จะส่งผลกระทบต่อสังคม ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไม่สามารถเข้าไปช่วยดูแลหรือแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งหลายครั้งที่เกิดปัญหา สกอ.ได้พยายามที่จะขอความร่วมมือจากสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือดี  แต่มีบางส่วนที่มีข้อโต้แย้งยืดเยื้อยาวนานจนทำให้ไม่มีข้อยุติ ส่งผลต่อนิสิตนักศึกษาและคุณภาพการศึกษา ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งออกมา เชื่อว่าการปรับแก้กฎกติกาการบริหารงานของอุดมศึกษาจะมีความราบรื่นและเรียบร้อยมากขึ้น และจะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เพราะ สกอ. สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้เมื่อเกิดปัญหาจากการบริหารงาน

  • ความหมายของสถาบันอุดมศึกษา  ย้ำว่าสถาบันอุดมศึกษาในตามความหมายของคำสั่งนี้ ครอบคลุมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ที่อยู่ในสังกัดและในกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนด้วย

  • การให้ได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ  ซึ่งได้ระบุไว้ว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่าการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอุดมศึกษา กรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษา หรืออธิการบดี ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ให้ รมว.ศึกษาธิการ ยับยั้งการแต่งตั้งหรือการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้ที่จะดำรงตำแหน่งดังกล่าว” หมายถึงการแต่งตั้งให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะยับยั้งการแต่งตั้งหรือดำเนินการเพื่อให้ได้ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่งจะต่างจากเดิมที่ให้อำนาจสภาสถาบันอุดมศึกษาในการตัดสินใจอย่างเต็มที่

  • หลักเกณฑ์การแต่งตั้ง  ขอให้ศึกษาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งสำคัญ ๆ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอุดมศึกษา จะสามารถดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาในเวลาเดียวกันได้ไม่เกิน 2 แห่ง, ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอุดมศึกษา 2 แห่งแล้ว อาจได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาหรือกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาอีกไม่เกิน 1 แห่ง เป็นต้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความรับผิดรับชอบ (Accountability) ของนายกสภาสถาบันอุดมศึกษา

  • การรับค่าตอบแทน เบี้ยประชุม หรือสิทธิประโยชน์อื่น  โดยนายกสภาสถาบันอุดมศึกษา และกรรมการสภาสภาบันอุดมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน เบี้ยประชุม หรือสิทธิประโยชน์อื่นใด นอกเหนือจากในฐานะนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาและกรรมการสภาสภาบันอุดมศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา เว้นแต่เป็นไปตามระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่ รมว.ศึกษาธิการ กำหนดหรือให้ความเห็นชอบ ซึ่งข้อความในส่วนนี้มีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันอิทธิพล/การมีผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างนายกสภาสถาบันอุดมศึกษาและกรรมการสภาสภาบันอุดมศึกษากับผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาจนส่งผลต่อการบริหารจัดการ ดังนั้นผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจึงควรได้รับเบี้ยประชุมเมื่อมาเข้าร่วมประชุม หรือได้รับค่าตอบแทนเหมาะสมตามการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่  ทั้งนี้ สถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่งสามารถหารือร่วมกันเพื่อร่างระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทน เบี้ยประชุมต่างๆ ที่ควรจะได้รับ เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของคำสั่งฉบับนี้ในทิศทางเดียวกัน และขณะนี้มีความร่วมมือกับภาคเอกชนมากขึ้น ดังนั้นการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาโดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณในเรื่องค่าตอบแทน เบี้ยประชุม หรือสิทธิประโยชน์อื่นใด ต้องโปร่งใสและเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับที่สามารถตรวจสอบได้

  • การจัดการศึกษาตามมาตรฐานการอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ  ต้องยอมรับว่าคำพูดที่ว่า “เรียนง่าย จ่ายครบ จบแน่” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงและได้ขยายวงออกไปในสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง ซึ่งสร้างความสะเทือนใจให้กับชาวกระทรวงศึกษาธิการทุกครั้งเมื่อได้ยินผู้คนกล่าวถึง แม้ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการได้พยายามแก้ไขปัญหามาโดยตลอด และเคยสั่งปิดสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานจนส่งผลต่อเสียหายต่อนักศึกษาไปแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังพบว่าเริ่มขยายไปสู่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนด้วย จึงขอให้เอกชนอย่ามองว่าการจัดการศึกษาเป็นธุรกิจเอกชน แต่ให้มองว่าเป็นการช่วยรัฐจัดการศึกษา พร้อมขอให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน รับผู้เรียนและผลิตคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศอย่างมีคุณภาพ ดังนั้น หากจะเปิดสอนหลักสูตรใดก็ควรคำนึงถึงความพร้อมและประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน มิใช่จะเปิดสอนสาขาอวกาศ แต่ไม่มีอาจารย์จบประจำหลักสูตรที่จบมาโดยตรง หรือสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเปิดสอนสาขาวิชาวิทยาการจัดการ โดยมีเนื้อหาหลักสูตรเช่นเดียวกับสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ฯลฯ จึงต้องการให้สถาบันอุดมศึกษาที่ผลิตคนในสาขาต่างๆ มาร่วมหารือกันเพื่อกำหนดมาตรฐานหลักสูตรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีการวัดคุณภาพและผลิตบัณฑิตอย่างมีคุณภาพ โดยขณะนี้ สกอ.เตรียมจัดการประชุมหารือเพื่อกำหนดคุณลักษณะของบัณฑิตที่มีคุณภาพในแต่ละระดับ เช่น ทักษะด้านภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การคิดวิเคราะห์ การนำ Digital Economy มาใช้ เป็นต้น

โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เปิดโอกาสให้อธิการบดีและผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาทั้ง 3 กลุ่ม กล่าวถึงสภาพปัญหาความต้องการ และตอบข้อซักถามต่างๆ ดังนี้

  • ผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ  ได้สอบถามถึงความชัดเจนและแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับการได้รับสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการที่สภาสถาบันอุดมศึกษาแต่งตั้งขึ้นก่อนคำสั่งมีผลบังคับใช้ ซึ่งยังไม่ครบวาระและยังดำเนินงานไม่เสร็จสิ้น
         
    (รมว.ศึกษาธิการ : คำสั่งเกี่ยวกับสิทธิค่าตอบแทน เบี้ยประชุม หรือสิทธิประโยชน์อื่น ไม่นำมาใช้บังคับกับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งก่อนวันที่คำสั่งนี้มีผลใช้บังคับอยู่แล้ว และเมื่อกรรมการชุดเดิมหมดวาระลง คำสั่งนี้จึงจะมีผลบังคับใช้กับกรรมการชุดใหม่ อย่างไรก็ตามเพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติว่าส่วนใดรับได้หรือรับไม่ได้ จะมอบให้ สกอ.มีหนังสือแจ้งไปยังสถาบันอุดมศึกษาอีกครั้ง ส่วนจะรับในอัตราเท่าไรหรืออย่างไรบ้างนั้น ต้องการให้สถาบันอุดมศึกษาร่วมกันกำหนดอัตราสูงสุดที่ควรจะได้รับและนำเสนอขึ้นมา ดีกว่าที่จะเป็นการกำหนดจากส่วนนโยบายลงไปหาผู้ปฏิบัติ)

  • ผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาเอกชน  เสนอให้มีข้อสอบกลางสำหรับวัดความรู้ก่อนจบการศึกษาระดับสถาบันอุดมศึกษา เช่นเดียวกับวิชาชีพพยาบาลหรือเภสัชกรที่ต้องสอบเพื่อให้ได้รับใบอนุญาต ซึ่งจะช่วยแก้ไขคุณภาพมาตรฐานของบัณฑิตอีกทางหนึ่ง
         (รมว.ศึกษาธิการ : เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการเคยมีแนวคิดเกี่ยวกับการสอบจบ (Exit Exam) แต่สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งยังไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่ามีมาตรฐานดีพออยู่แล้ว ซึ่งในอนาคตอาจจะนำกลับมาใช้ เพราะจะส่งผลดีต่อนิสิตนักศึกษา ทั้งในเรื่องของทักษะทางด้านภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่ได้มีการอ้างอิงกรอบมาตรฐานการประเมินความสามารถทางภาษาจากประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป หรือ CEFR (Common European Framework of Reference for Languages), ทักษะด้านการคิดวิเคราะห์, ทักษะด้าน IT ตลอดจนคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21

  • ผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ (นอกระบบ)   ในปัจจุบันมีกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะทำงานต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด จะสามารถต่ออายุการทำงาน และจะต้องห้ามตามคำสั่งข้อ 3 วรรคท้ายหรือไม่
         (รมว.ศึกษาธิการ : เจตนารมณ์ของการแต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ ตามคำสั่งข้อ 3 เพื่อป้องกันการขัดผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ดังนั้นสถาบันอุดมศึกษาสามารถตีความและพิจารณาได้เองว่า หากเป็นการก่อให้เกิดการขัดผลประโยชน์กัน ก็ควรจะตั้งประธานคณะทำงานใหม่ที่ไม่ได้มาจากกรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนี้)


นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
14/8/2559